...
Show More
งานHistorical fictionที่แท้ทรูในโลกหล้านภาลัย
*ควรศึกษาเรื่องsiege of lisbonเพิ่มเติมเพื่อความอรรถรสและไม่ต้องงงเป็นไก่ตาแตกตลอดการอ่าน*
- หนักหนามาก ทั้งฟอร์ม ทั้งพล็อต ทั้งประเด็น ทั้งบริบทประวัติศาสตร์โปรตุเกส ไม่ใช่อะไรที่อ่านง่ายและรื่นรมย์นัก เลย อยากกราบLibrary Houseที่แปลเรื่องนี้ออกมาเป็นภาษาไทย นับถือ
- ปกตินิยายแนวนี้ก็หนีไม่พ้นขนบนิยายทั่วไป มีพล็อตชัดเจน มีเซ็ตติ้งชัด มีไดอาล็อค มีบท สร้างอรรถรสให้คนอ่าน แต่ซารามากูคือก้าวข้าวขนบเหล่านี้ในเรื่องนี้ ย่อหน้าน้อย(หนึ่งหน้ามีจะมีเพียงหนึ่ง-สองย่อหน้า!) เขียนเป็นfree writingยาวๆ พล็อตหลักและพล็อตรองรวมทั้งไดอาล็อก สำนึกคิดสิ่งอย่างมาไว้ในย่อหน้านั้นเลย ขั้นสุดมาก
- แต่การเขียนfree writingของซารามากูมันก็สะท้อนธรรมชาติของoral historyในแต่ละยุคสมัยได้ดีไม่ว่าจะทั้งยุคกลางหรือยุคร่วมสมัย แต่ต่างกันที่บริบทยุคสมัย ภาษาลาตินที่เป็นของคนของคนชนชั้นสูงได้ถูกกวาดตอนลงในช่วงกาฬวิบัติ ภาษาอังกฤษรวมทั้งภาษาอื่นๆในยุโรปที่เป็นของชนชั้นต่ำจึงค่อยๆกลับมามีบทบาทอีกครั้ง ผู้บันทึกประวัติศาสตร์มุขปาฐะจึงไม่ได้จบแค่คนชนชั้นสูงที่อ่านเขียนภาษาลาตินได้ เพราะพรมแดนและการเข้าถึงทรัพยากรความรู้นั้นมันก็เปลื่ยนแปรไปตามยุคสมัย ชนชั้นอื่นจึงเข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายขึ้น พออ่านเรื่องนี้มันเลยเหมือนเป็นการสรรเสริญให้กับลูกหลานในเจนเนเรชั่นต่อมาว่าเราไม่ได้ถูกครอบงำโดยประวัติศาสตร์ในฉบับของใครอีกต่อไป เราวิพากษณ์ วิจารณ์ หรือแม้แต่สร้างประวัติศาสตร์นั้นขึ้นมาใหม่เลยก็ยังได้ !
- ฉะนั้น วรรณกรรมทั้งเรื่องเลยเป็นเหมือนการbacklash(ซึ่งพล็อตรองที่ว่าก็คือการเขียนนิยายhistoricalซ้อนทับลงไปอีกที)ใส่ตัวประวัติศาสตร์และผู้คน(ที่เป็นสลิ่ม)ที่ยังยึดว่ากรุงลิสบอนของคนขาวนั้นมีคชอบธรรมกว่าพวกแขกมัวร์ได้เจ็บแสบมากๆแบบอ.สุจิตต์ วงศ์เทศ ทั้งที่วิธีของที้งสองฝ่ายก็ไม่ต่างกันเลย เพราะต่างฝ่ายก็รุกรานกันในนามเทพทั้งนั้น เฮ้อ
*ควรศึกษาเรื่องsiege of lisbonเพิ่มเติมเพื่อความอรรถรสและไม่ต้องงงเป็นไก่ตาแตกตลอดการอ่าน*
- หนักหนามาก ทั้งฟอร์ม ทั้งพล็อต ทั้งประเด็น ทั้งบริบทประวัติศาสตร์โปรตุเกส ไม่ใช่อะไรที่อ่านง่ายและรื่นรมย์นัก เลย อยากกราบLibrary Houseที่แปลเรื่องนี้ออกมาเป็นภาษาไทย นับถือ
- ปกตินิยายแนวนี้ก็หนีไม่พ้นขนบนิยายทั่วไป มีพล็อตชัดเจน มีเซ็ตติ้งชัด มีไดอาล็อค มีบท สร้างอรรถรสให้คนอ่าน แต่ซารามากูคือก้าวข้าวขนบเหล่านี้ในเรื่องนี้ ย่อหน้าน้อย(หนึ่งหน้ามีจะมีเพียงหนึ่ง-สองย่อหน้า!) เขียนเป็นfree writingยาวๆ พล็อตหลักและพล็อตรองรวมทั้งไดอาล็อก สำนึกคิดสิ่งอย่างมาไว้ในย่อหน้านั้นเลย ขั้นสุดมาก
- แต่การเขียนfree writingของซารามากูมันก็สะท้อนธรรมชาติของoral historyในแต่ละยุคสมัยได้ดีไม่ว่าจะทั้งยุคกลางหรือยุคร่วมสมัย แต่ต่างกันที่บริบทยุคสมัย ภาษาลาตินที่เป็นของคนของคนชนชั้นสูงได้ถูกกวาดตอนลงในช่วงกาฬวิบัติ ภาษาอังกฤษรวมทั้งภาษาอื่นๆในยุโรปที่เป็นของชนชั้นต่ำจึงค่อยๆกลับมามีบทบาทอีกครั้ง ผู้บันทึกประวัติศาสตร์มุขปาฐะจึงไม่ได้จบแค่คนชนชั้นสูงที่อ่านเขียนภาษาลาตินได้ เพราะพรมแดนและการเข้าถึงทรัพยากรความรู้นั้นมันก็เปลื่ยนแปรไปตามยุคสมัย ชนชั้นอื่นจึงเข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายขึ้น พออ่านเรื่องนี้มันเลยเหมือนเป็นการสรรเสริญให้กับลูกหลานในเจนเนเรชั่นต่อมาว่าเราไม่ได้ถูกครอบงำโดยประวัติศาสตร์ในฉบับของใครอีกต่อไป เราวิพากษณ์ วิจารณ์ หรือแม้แต่สร้างประวัติศาสตร์นั้นขึ้นมาใหม่เลยก็ยังได้ !
- ฉะนั้น วรรณกรรมทั้งเรื่องเลยเป็นเหมือนการbacklash(ซึ่งพล็อตรองที่ว่าก็คือการเขียนนิยายhistoricalซ้อนทับลงไปอีกที)ใส่ตัวประวัติศาสตร์และผู้คน(ที่เป็นสลิ่ม)ที่ยังยึดว่ากรุงลิสบอนของคนขาวนั้นมีคชอบธรรมกว่าพวกแขกมัวร์ได้เจ็บแสบมากๆแบบอ.สุจิตต์ วงศ์เทศ ทั้งที่วิธีของที้งสองฝ่ายก็ไม่ต่างกันเลย เพราะต่างฝ่ายก็รุกรานกันในนามเทพทั้งนั้น เฮ้อ