...
Show More
อาการนี้มันกลับมาอีกแล้ว มีอะไรมากมายในหัวแต่พูดไม่ออก เรียบเรียงไม่ได้ จะจำกัดความเป็นคำๆ ก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ เราไม่รู้เลยว่าต้องพูดถึงเล่มนี้ว่ายังไงและความรู้สึกหลังอ่านจบของเรามันเป็นไปในแง่ไหน เศร้า? ซึม? สงบ? โล่งใจ? ไม่มีคำไหนที่ตรงกับความรู้สึกเกิดขึ้นแบบเป๊ะๆ เลย
เป็นนิยายโรแมนติก-อิงประวัติศาสตร์หลังยุคนาซีเยอรมัน ดำเนินเรื่องโดยชายหนุ่ม ‘มิชาเอล’ ที่มาเล่าย้อนชีวิตตัวเองตั้งแต่วัย 15 เราชอบวิธีการเขียนแบบใช้น้ำเสียงจากอนาคตนมาก มันทำให้เรายั้งตัวทัน ไม่ถลำลึกกับเหตุการณ์ และพอเดาได้ลางๆ ว่าต่อไปมันจะเป็นยังไง สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันจะอยู่ยงคงกระพันรึเปล่า (แน่นอนว่าหลายครั้งคำตอบคือไม่) เพราะงั้นการเล่าโดยใช้น้ำเสียงและเวิดดิ้งแบบมาจากอนาคต เช่น เมื่อตอนนั้นผม… หลังจากนั้นแฟนคนต่อๆ มาก็… สมัยนั้นผมยังไม่ได้คิดว่า… เลยทำให้เราได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ
เรื่องแบ่งเป็น 3 ภาค ภาคแรกคือนิยายรักจ๋าๆ เลย เป็นความสัมพันธ์ต่างวัย (gap 21 ปี) ของมิชาเอลหนุ่มน้อยวัย 15 กับ ‘ฮันนา’ สาวสวยวัย 36 ด้วยช่องว่างที่ต่างกันเยอะมันเลยมี power dynamic ที่ชัดมากๆ ช่วงนึงเลยที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลายเป็นแบบ manipulative relationship ฮันนากุมอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่าง gaslight, guilt trip กันกระจาย ในขณะเดียวกันมิชาเอลก็พยายามจะหยิ่งในศักดิ์ศรี (แต่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จหรอก มันรักเค้าาาา 55555) ด้วยตระกูลที่ดีกว่าฮันนา ได้เรียนหนังสือ มีเงินทอง (คิดดูเด็ก 15 มีเงินพาสาวไปเที่ยวตจว.) พอเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ได้เจอสาวคนอื่น มีสังคม มีเพื่อน ความคลั่งรักฮันนาก็ดูเหมือนจะลดลงสวนทางกับอีโก้ที่เพิ่มขึ้น
ภาคสองเล่าถึงช่วงเวลาอีกเกือบ 10 ปีให้หลัง มิชาเอลพบว่าฮันนามีส่วนพัวพันกับคดีค่ายกักกันของนาซี ภาคนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สลับขั้วกัน (น่าสนใจมาก) กลายเป็นมิชาเอลขึ้นมามี power มากกว่า ด้วยบทบาทของนักศึกษาวิชากฎหมาย เรียนดี อนาคตไกล ส่วนฮันนากลายเป็นจำเลย การพบปะของทั้งคู่จึงเกิดขึ้นในศาล ฮันนาถูกไต่สวน มิชาเอลเป็นผู้สังเกตการณ์ ต้องวิเคราะห์ ตีความกฎหมายและการพิจารณาคดี แถมยังค้นพบข้อมูลสำคัญที่อาจพลิกชะตาชีวิตฮันนาได้ อยู่ที่ว่ามิชาเอลจะทำยังไงกับข้อมูลนั้น power อยู่กับมิชาเอลเต็มๆ ส่วนฮันนา = ลูกไก่ในกำมือ
แต่จริงๆ เรื่องมันก็ไม่ได้สื่อในแง่อำนาจชัดขนาดนั้นหรอก มันเน้นไปที่คดีความ ความถูกต้อง การตั้งคำถามเกี่ยวกับผู้กระทำผิด ช่องว่างแห่งยุคสมัย ความรู้สึกของมิชาเอลที่สับสนว่าจะรู้สึกยังไงกับฮันนาดี ควรโกรธการกระทำของฮันนาในอดีต (ที่เกี่ยวกับคสพ.ล้วนๆ) มั้ย หรือควรโกรธที่ฮันนาโกหก (ที่เกี่ยวกับทั้งคสพ.และการเมือง) มั้ย หรือควรเห็นใจ เข้าอกเข้าใจ แต่ถ้าทำแบบนั้นจะผิดต่อชาวยิวที่ตายไปรึเปล่า จะผิดกรอบสังคม จะดูแปลกแยก จะถูกประณามมั้ย กรณีนี้ไม่ใช่แค่กับฮันนา แต่เป็นคำถามที่คนวัยมิชาเอลกำลังมีต่อครอบครัว พ่อแม่ ปู่ย่าตายายของตัวเองที่ดำรงอยู่ในยุคนาซีเกลื่อนเมือง (เราชอบประเด็นนี้มาก ดี)
ด้วยบริบทสังคมตอนนั้นกำลังเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน คนรุ่นหลังต่อต้านวัยพ่อแม่ โกรธแค้นที่วัยพ่อแม่ปล่อยให้เรื่องนาซีเกิดขึ้น (ฟีลเด็กไทยเจนซีโกรธเจนเอ้กกับบูมเมอร์) เกิดคำถามแห่งยุคสมัยว่าเราจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี ปล่อยไปเฉยๆ ขุดแคะขึ้นมา หรือเป็นปรปักษ์กับพ่อแม่ชัดเจนเพื่อลงโทษ (แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรัก ก็พ่อแม่กุอะ) จำเป็นมั้ยที่ต้องอยู่กับความขมขื่นรู้สึกผิดไปตลอด จำเป็นมั้ยที่ต้องทำความเข้าใจค่ายกักกันและนาซีให้ลึกซึ้ง จุดที่น่าสนใจมากๆ คือการที่มิชาเอลรู้สึก ‘ชินชา’ เมื่อคลุกคลีกับคดีความพวกนี้มากเกินไป ไม่ใช่แค่ตัวเขา แต่ผู้พิพากษา ลูกขุน อัยการ ที่เคยโกรธเคือง ขุ่นแค้น นานวันเข้าทุกคนก็ดูชิน เบื่อ และอยากให้มันจบๆ ไป มันเลยเป็นคำถามว่าการที่เรารับรู้เรื่องราวน่าเจ็บปวดครั้งอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันสร้างแต่แรงกระเพื่อมในแง่ดีจริงหรือ
อีกประเด็นคือการชวนขบคิดถึง ‘ภาระหน้าที่’ และสิ่งที่ ‘จำเป็นต้องทำ’ หากอยู่ในยุคนาซี คุณจะทำอย่างไร ตอนนี้เราพูดได้ว่าสิ่งที่นาซีทำมันโหดร้าย แต่ถ้าตอนนั้นเป็นเรา เราจะต่อต้านอย่างไร สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดมีแค่ไหน เราชอบมากๆ ที่เค้าพูดประเด็นนี้โดยไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายนาซี ไม่ได้พยายามจะโน้มน้าวให้เราเห็นใจและสงสาร (กระทั่งอ่านจบเราก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่ฮันนาทำตอนท้ายมันชดเชยอะไรไม่ได้อยู่ดี) แต่มันชวนให้เราได้ตกตะกอนจริงๆ ว่าเราไม่มีทางเข้าใจใครได้ทั้งหมด เขียนอะไรแบบนี้ออกมาได้คือโคตรเก่งเลย ทับใจ
มีประเด็นละเอียดอ่อนอีกเยอะมาก (ที่เราอยากพูดถึง แต่พูดไม่ถูก ประกอบกับอ่านแล้วลืม
เป็นนิยายโรแมนติก-อิงประวัติศาสตร์หลังยุคนาซีเยอรมัน ดำเนินเรื่องโดยชายหนุ่ม ‘มิชาเอล’ ที่มาเล่าย้อนชีวิตตัวเองตั้งแต่วัย 15 เราชอบวิธีการเขียนแบบใช้น้ำเสียงจากอนาคตนมาก มันทำให้เรายั้งตัวทัน ไม่ถลำลึกกับเหตุการณ์ และพอเดาได้ลางๆ ว่าต่อไปมันจะเป็นยังไง สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันจะอยู่ยงคงกระพันรึเปล่า (แน่นอนว่าหลายครั้งคำตอบคือไม่) เพราะงั้นการเล่าโดยใช้น้ำเสียงและเวิดดิ้งแบบมาจากอนาคต เช่น เมื่อตอนนั้นผม… หลังจากนั้นแฟนคนต่อๆ มาก็… สมัยนั้นผมยังไม่ได้คิดว่า… เลยทำให้เราได้มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจ
เรื่องแบ่งเป็น 3 ภาค ภาคแรกคือนิยายรักจ๋าๆ เลย เป็นความสัมพันธ์ต่างวัย (gap 21 ปี) ของมิชาเอลหนุ่มน้อยวัย 15 กับ ‘ฮันนา’ สาวสวยวัย 36 ด้วยช่องว่างที่ต่างกันเยอะมันเลยมี power dynamic ที่ชัดมากๆ ช่วงนึงเลยที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลายเป็นแบบ manipulative relationship ฮันนากุมอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่าง gaslight, guilt trip กันกระจาย ในขณะเดียวกันมิชาเอลก็พยายามจะหยิ่งในศักดิ์ศรี (แต่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จหรอก มันรักเค้าาาา 55555) ด้วยตระกูลที่ดีกว่าฮันนา ได้เรียนหนังสือ มีเงินทอง (คิดดูเด็ก 15 มีเงินพาสาวไปเที่ยวตจว.) พอเริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ได้เจอสาวคนอื่น มีสังคม มีเพื่อน ความคลั่งรักฮันนาก็ดูเหมือนจะลดลงสวนทางกับอีโก้ที่เพิ่มขึ้น
ภาคสองเล่าถึงช่วงเวลาอีกเกือบ 10 ปีให้หลัง มิชาเอลพบว่าฮันนามีส่วนพัวพันกับคดีค่ายกักกันของนาซี ภาคนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สลับขั้วกัน (น่าสนใจมาก) กลายเป็นมิชาเอลขึ้นมามี power มากกว่า ด้วยบทบาทของนักศึกษาวิชากฎหมาย เรียนดี อนาคตไกล ส่วนฮันนากลายเป็นจำเลย การพบปะของทั้งคู่จึงเกิดขึ้นในศาล ฮันนาถูกไต่สวน มิชาเอลเป็นผู้สังเกตการณ์ ต้องวิเคราะห์ ตีความกฎหมายและการพิจารณาคดี แถมยังค้นพบข้อมูลสำคัญที่อาจพลิกชะตาชีวิตฮันนาได้ อยู่ที่ว่ามิชาเอลจะทำยังไงกับข้อมูลนั้น power อยู่กับมิชาเอลเต็มๆ ส่วนฮันนา = ลูกไก่ในกำมือ
แต่จริงๆ เรื่องมันก็ไม่ได้สื่อในแง่อำนาจชัดขนาดนั้นหรอก มันเน้นไปที่คดีความ ความถูกต้อง การตั้งคำถามเกี่ยวกับผู้กระทำผิด ช่องว่างแห่งยุคสมัย ความรู้สึกของมิชาเอลที่สับสนว่าจะรู้สึกยังไงกับฮันนาดี ควรโกรธการกระทำของฮันนาในอดีต (ที่เกี่ยวกับคสพ.ล้วนๆ) มั้ย หรือควรโกรธที่ฮันนาโกหก (ที่เกี่ยวกับทั้งคสพ.และการเมือง) มั้ย หรือควรเห็นใจ เข้าอกเข้าใจ แต่ถ้าทำแบบนั้นจะผิดต่อชาวยิวที่ตายไปรึเปล่า จะผิดกรอบสังคม จะดูแปลกแยก จะถูกประณามมั้ย กรณีนี้ไม่ใช่แค่กับฮันนา แต่เป็นคำถามที่คนวัยมิชาเอลกำลังมีต่อครอบครัว พ่อแม่ ปู่ย่าตายายของตัวเองที่ดำรงอยู่ในยุคนาซีเกลื่อนเมือง (เราชอบประเด็นนี้มาก ดี)
ด้วยบริบทสังคมตอนนั้นกำลังเป็นยุคเปลี่ยนผ่าน คนรุ่นหลังต่อต้านวัยพ่อแม่ โกรธแค้นที่วัยพ่อแม่ปล่อยให้เรื่องนาซีเกิดขึ้น (ฟีลเด็กไทยเจนซีโกรธเจนเอ้กกับบูมเมอร์) เกิดคำถามแห่งยุคสมัยว่าเราจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี ปล่อยไปเฉยๆ ขุดแคะขึ้นมา หรือเป็นปรปักษ์กับพ่อแม่ชัดเจนเพื่อลงโทษ (แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรัก ก็พ่อแม่กุอะ) จำเป็นมั้ยที่ต้องอยู่กับความขมขื่นรู้สึกผิดไปตลอด จำเป็นมั้ยที่ต้องทำความเข้าใจค่ายกักกันและนาซีให้ลึกซึ้ง จุดที่น่าสนใจมากๆ คือการที่มิชาเอลรู้สึก ‘ชินชา’ เมื่อคลุกคลีกับคดีความพวกนี้มากเกินไป ไม่ใช่แค่ตัวเขา แต่ผู้พิพากษา ลูกขุน อัยการ ที่เคยโกรธเคือง ขุ่นแค้น นานวันเข้าทุกคนก็ดูชิน เบื่อ และอยากให้มันจบๆ ไป มันเลยเป็นคำถามว่าการที่เรารับรู้เรื่องราวน่าเจ็บปวดครั้งอดีตซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันสร้างแต่แรงกระเพื่อมในแง่ดีจริงหรือ
อีกประเด็นคือการชวนขบคิดถึง ‘ภาระหน้าที่’ และสิ่งที่ ‘จำเป็นต้องทำ’ หากอยู่ในยุคนาซี คุณจะทำอย่างไร ตอนนี้เราพูดได้ว่าสิ่งที่นาซีทำมันโหดร้าย แต่ถ้าตอนนั้นเป็นเรา เราจะต่อต้านอย่างไร สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดมีแค่ไหน เราชอบมากๆ ที่เค้าพูดประเด็นนี้โดยไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายนาซี ไม่ได้พยายามจะโน้มน้าวให้เราเห็นใจและสงสาร (กระทั่งอ่านจบเราก็ยังรู้สึกว่าสิ่งที่ฮันนาทำตอนท้ายมันชดเชยอะไรไม่ได้อยู่ดี) แต่มันชวนให้เราได้ตกตะกอนจริงๆ ว่าเราไม่มีทางเข้าใจใครได้ทั้งหมด เขียนอะไรแบบนี้ออกมาได้คือโคตรเก่งเลย ทับใจ
มีประเด็นละเอียดอ่อนอีกเยอะมาก (ที่เราอยากพูดถึง แต่พูดไม่ถูก ประกอบกับอ่านแล้วลืม