คิดว่าหลายคนอาจจะเคยได้เห็นประโยคนี้ผ่านตา เราก็ด้วยเหมือนกันแล้วก็สงสัยว่า เกลืออะนะ? เกลือเนี่ยนะ? ทุกวันนี้เกลือนอกจากจะไม่ใช่ทองคำขาวที่หายากยังถูกเอามาล้อเป็นเกลือกาชาที่ดาษดื่นหาง่ายอีกต่างหาก มันก็เลยกลายเป็นความสงสัยนิดหน่อยว่าพลวัตรของเกลือจากของหายากมีค่าสูงส่ง จนกลายเป็นเงินกลายเป็นทอง กลายมาเป็นสินค้าที่ถูกซะยิ่งกว่าถูกจนถูกเอามาล้อกลายเป็นสินค้าดาษดื่นที่ไม่มีใครอยากได้ได้ยังไงกัน
แต่เสียใจด้วย เล่มนี้ไม่ได้บอกเล่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ที่เราอยากรู้ขนาดนั้น (แหง) แต่มันเล่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับเกลือ ตั้งแต่จุดเริ่มต้นการพบเกลือ การทำนาเกลือ การนำเกลือมาใช้ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเกลือ สงครามที่เริ่มต้นจากเกลือ กฎหมายควบคุมเกลือ อาหารที่ทำจากเกลือ สารพันเรื่องเกลือตั้งแต่อดีตจนถึงเกือบปัจจุบันจากประวัติศาสตร์เกลือรอบโลก ที่นั่นที่นี่เขาเอาเกลือไปทำอาหารอะไร นอกจากทำอาหารเอาเกลือไปทำอย่างอื่นอีกมั้ย (เอาไปละลายน้ำแข็ง) ซึ่งมันทำให้เราเห็นภาพกว้างของเกลือมากๆ พอรู้ประวัติศาสตร์อย่างใดอย่างนึงลึกบวกกับอ่านประวัติศาสตร์ภาพกว้างของโลก (อย่าง upheaval) มันทำให้หลายชิ้นส่วนถูกปะติปะต่อเข้าในหัว แต่ตอนนี้ที่เขียนมันยังต่อไม่สำเร็จเลยบอกไม่ได้ว่าชิ้นส่วนภาพรวมเป็นไง แต่เหมือนกับว่าการรู้ประวัติเกลือ (ที่ทุกวันนี้ จนอ่านจบก็งงว่าคนเรามันจะรู้เรื่องนี้ไปทำไม จะบ้า) มันทำให้เราเข้าใจมุมมองประวัติศาสตร์ในอีกมุมหนึ่ง พลวัตรของโลกไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะแค่อาวุธ สงครามและการเงิน แค่อาหารก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศึกสงครามรู้ผลแพ้ชนะ มันเป็นเบื้องหลังของประวัติศาสตร์หลายอย่างที่ทำให้โลกเป็นอย่างทุกวันนี้ (ขอโทษที่ยกตัวอย่างให้ไม่ได้ เพราะลืม ชิบหาย รีวิวนี้มันเชื่อใจได้มั้ย)
กลับมาที่ประโยคเปิด เกลือคือมองคำขาว ทุกวันนี้ยังเป็นแบบนั้นมั้ย คำตอบคือใช่ เพราะโลกเราใช้เกลือกันเกือบทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่การบริโภค เกลือเป็นส่วนประกอบของสิ่งต่างๆ มากมาย กระจกก็ใช่ หลอดไฟก็ใช่ เอาไปละลายน้ำแข็งก็ใช่ จนไปถึงการบริโภคอย่างการหมักดอง ปลาร้าก็ใช่ มิโซะก็ใช่ ซีอิ๋วก็ใช่ หรือเอาไปทำอาหารเพื่อดึงรสต่างๆ ไปจนถึงอาบน้ำ แต่เพราะมันสารพันสารพัดประโยชน์และมีหลากหลาย ทั้งเกลืออุตสาหกรรม เกลือทะเล เกลือสินเธาว์ เกลือขาว แถมเกลือบางประเภทก็ยังราคาถูก (โดยเฉพาะเกลือกินตามบ้าน) มันเลยกลายเป็นสิ่งที่เอามาโดนล้อเป็นของดาษดื่นด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ทั้งน่าสนใจและน่าเบื่อในเวลาเดียวกัน เหมือนหนังสือเล่มนี้แหละ 55555555